Knowledge Center

7 วิธีแพ็คสินค้าฉบับมือโปร ทำอย่างไรให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย 

แม่ค้าขายสินค้าออนไลน์

สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของออนไลน์ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คือคุณภาพในการจัดส่งสินค้า นอกจากความรวดเร็วแล้ว การแพ็คสินค้าอย่างดีก็จะช่วยปกป้องสินค้าให้ถึงมือผู้รับในสภาพสมบูรณ์ วันนี้เรามีเทคนิคการแพ็คของออนไลน์แบบมืออาชีพมาฝากกัน โดยจะช่วยให้การจัดส่งสินค้าของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความประทับใจตั้งแต่ลูกค้าได้รับสินค้าเลย  

แพ็คสินค้า ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง 

ก่อนจะเริ่มแพ็คสินค้า สิ่งสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าต้องเตรียมให้พร้อม คืออุปกรณ์สำหรับแพ็คของ การมีอุปกรณ์ที่ครบครันจะช่วยให้ขั้นตอนการแพ็คสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอุปกรณ์ที่ควรมีประกอบด้วย 

  1. สินค้าที่จะจัดส่ง ตรวจสอบความเรียบร้อยของสินค้าก่อนแพ็ค เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์
  2. กล่องพัสดุหรือซองพัสดุ มีหลายขนาดให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสินค้า ควรเตรียมทั้งกล่องและซองไว้ให้พร้อม
  3. วัสดุกันกระแทก เช่น แผ่นบับเบิ้ล กระดาษรังผึ้ง กระดาษฝอยหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ สำหรับป้องกันสินค้าแตกหักหรือเสียหาย
  4. อุปกรณ์ปิดผนึก สก็อตเทปคุณภาพดี สำหรับปิดผนึกพัสดุให้แน่นหนา
  5. เครื่องมือและอุปกรณ์อื่น ๆ กรรไกร คัตเตอร์สำหรับตัดเทป
  6. สติ๊กเกอร์ Label สำหรับติดบริเวณด้านนอกกล่อง เช่น ระวังแตก ห้ามโยน ฯลฯ เพื่อป้องกันความเสียหายของสินค้าด้านใน    

7 วิธีการแพ็คสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย 

การแพ็คสินค้าให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์ มาดูวิธีแพ็คของออนไลน์ที่ถูกต้องกันว่าจะมีอะไรบ้าง ดังนี้ 

1. เลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้า

ขั้นตอนแรกคือการเลือกบรรจุภัณฑ์หรือกล่องพัสดุให้เหมาะกับประเภทสินค้า เช่น เสื้อผ้าหรือสินค้าที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดี สามารถใช้ซองพลาสติกได้ แต่สำหรับสินค้าที่แตกหักง่าย ก็จำเป็นต้องแพ็คสินค้าด้วยกล่องที่มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนสินค้าขยับได้ และไม่เล็กเกินไปจนไม่มีพื้นที่ใส่วัสดุกันกระแทก 

นอกจากนี้ คุณภาพและวัสดุของกล่องก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความหนาของกล่องที่ต้องทนทานพอที่จะปกป้องสินค้าจากการโยนของพนักงานขนส่ง หรือแรงกดทับเมื่อถูกวางซ้อนกับกล่องอื่น ๆ ปัจจุบันมีนวัตกรรมการผลิตกล่องใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่เพิ่มน้ำหนักมากนัก ทำให้สามารถปกป้องสินค้าได้ดียิ่งขึ้นตลอดการเดินทางไปถึงมือลูกค้า  

2. เลือกกล่องที่ได้คุณภาพ 

การเลือกใช้กล่องคุณภาพดีเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะกล่องลูกฟูกที่มีความหนาและแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งาน ซึ่งสามารถปกป้องสินค้าด้านใน ลดแรงกระแทกและความเสียระหว่างการขนส่ง เช่น การโยนสินค้า สินค้ามีน้ำหนักที่วางทับกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กล่องที่มีคุณภาพก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าจะเสียหายระหว่างการขนส่งได้  

3. ป้องกันสินค้าด้วยวัสดุกันกระแทก

การจัดส่งสินค้าให้ปลอดภัยต้องใส่ใจเรื่องการป้องกันการกระแทก โดยเฉพาะจุดเสี่ยงอย่างมุมกล่อง มุมหนังสือหรือขอบขวด วิธีแพ็คของที่ถูกต้อง คือการห่อหุ้มด้วยบับเบิ้ลให้พอดี ไม่บางเกินไปจนไม่สามารถกันกระแทกและไม่หนาจนทำให้กล่องผิดรูป หรือหากคุณต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม สามารถเลือกใช้กระดาษรังผึ้งหรือกระดาษฝอยได้เช่นกัน แต่ก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากกระดาษรังผึ้งจะมีราคาค่อนข้างสูง เมื่อใช้แพ็กสินค้าร่วมกับกระดาษฝอย รวมทั้งอัตราการป้องกันสินค้าที่เสียหายจะลดลงสภาพสินค้าที่ถึงมือลูกค้าอาจจะได้รับความเสียหายได้  

แพ็คสินค้าด้วยบับเบิ้ลกันกระแทก

4. ลดช่องว่างภายในกล่อง 

หลังจากวางสินค้าลงในกล่อง การจัดการกับช่องว่างที่เหลือก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เพราะอาจทำให้สินค้าเคลื่อนที่และเสียหายระหว่างขนส่งได้ แพ็คสินค้าให้แน่นด้วยการเติมช่องว่างด้วยวัสดุกันกระแทก เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ บับเบิ้ลหรือกระดาษฝอย นอกจากจะช่วยล็อกสินค้าให้อยู่กับที่แล้ว ยังเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล่องอีกด้วย แต่ถ้าต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับสินค้ามากขึ้น การใช้ถุงลมหรือพลาสติกอัดอากาศที่มีขนาดใหญ่กว่าบับเบิ้ลทั่วไป ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันสินค้าที่ดีกว่าวัสดุกันกระแทกแบบอื่น ๆ เพราะสามารถกระจายแรงกระแทกได้ดีกว่าและยังคงรูปร่างได้นานกว่าในระหว่างการขนส่ง    

5. ปิดกล่องสินค้าให้แน่นหนาทุกมุม 

เลือกใช้เทปกาวคุณภาพสูงที่มีความเหนียวและทนทาน ปิดให้ครบทุกด้านโดยเฉพาะด้านล่างของกล่อง สำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ควรเพิ่มชั้นของเทปที่ปิดเพื่อป้องกันก้นกล่องฉีกขาด และหากเป็นสินค้าที่ต้องการการป้องกันพิเศษจากน้ำให้เพิ่มการซีลด้วยพลาสติกอีกชั้น ทั้งนี้แนะนำให้ปิดกล่องสินค้าด้วยเทคนิคตัว H หลังจากปิดกล่องตรงกลางของกล่อง ทั้งด้านบนและด้านล่าง ด้านซ้ายและขวา ซึ่งวิธีนี้ก็จะช่วยให้กล่องพัสดุแน่นหนาขึ้น และรักษาความสมบูรณ์ของกล่องให้ถึงมือลูกค้าได้อย่างปลอดภัย 

สติ๊กเกอร์ระวังแตก

6. ติดสติ๊กเกอร์เตือน เพื่อความปลอดภัยระหว่างการขนส่ง 

เพิ่มความปลอดภัยในการแพ็คสินค้าด้วยการติดสติกเกอร์หรือสัญลักษณ์เตือนบนกล่อง เช่น “ระวังแตก” เพื่อหลีกเลี่ยงการโยนหรือวางของหนักทับ สัญลักษณ์เตือนเหล่านี้จะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งได้  

7. ระบุชื่อและที่อยู่ของผู้รับให้ชัดเจน 

การระบุข้อมูลผู้รับให้ชัดเจน โดยเฉพาะชื่อ ที่อยู่ รหัสไปรษณีย์และเบอร์โทรศัพท์ แนะนำให้พิมพ์ข้อมูลลงบนสติกเกอร์และติดให้เรียบร้อย โดยใบปะหน้าควรมีขนาดที่เหมาะสม ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ทั้งนี้ การระบุข้อมูลที่ครบถ้วนเช่นนี้ จะช่วยให้การจัดส่งเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน   

สินค้าถึงมือลูกอย่างปลอดภัย

สรุปบทความ 

MyCloud Fulfillment เราแพ็คสินค้าอย่างมืออาชีพ ทุกขั้นตอนทำงานผ่านบาร์โค้ด เรียกตรวจสอบออเดอร์ได้ว่า มีสินค้าอะไรบ้าง จำนวนเท่าไหร่ หมดกังวลเรื่องได้สินค้าไม่ครบหรือสินค้าเกิน เพราะเราใส่ใจในทุกขั้นตอนของการแพ็คสินค้า ตั้งแต่ขนาดกล่องสินค้า วัสดุป้องกันการกระแทกไปจนถึงการระบุข้อมูลการจัดส่ง พร้อมระบบบันทึกการแพ็คทุกออเดอร์ผ่าน CCTV และจะส่งไปยังคำสั่งซื้อของลูกค้า ช่วยสร้างความประทับใจและความน่าเชื่อถือได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องการความสะดวกสบายในการจัดการสินค้าและการจัดส่ง MyCloud Fulfillment มีบริการ Order Fulfillment จัดการการขายและรายการสั่งซื้อ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระบบเดียว และบริการ Shipping Management ช่วยให้การจัดส่งสินค้าของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมระบบบริหารจัดการที่ทันสมัย ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่ลูกค้าของคุณได้รับสินค้าในสภาพสมบูรณ์และตรงเวลาอย่างแน่นอน

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

สินค้าเสื่อม !Cosmetics &Skincare ร้อนนี้เก็บยังไงดี

เจ้าของธุรกิจสกินแคร์หลายๆคนคงต้องเคยเจอกับปัญหา สินค้าเสื่อม อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้นแบบนี้ อาจทำให้สินค้าที่ลงทุนมาด้วยความตั้งใจกลับเสียหาย ทั้งสีเปลี่ยน กลิ่นเปลี่ยน หรือเนื้อครีมแยกชั้นจนใช้งานไม่ได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือและยอดขายของธุรกิจคุณ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะบทความนี้จะช่วยให้คุณรู้วิธีเก็บรักษาสินค้าสกินแคร์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมขาย แม้ต้องเจอกับอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทยก็ยังมั่นใจได้ว่าคุณภาพสินค้าจะยังคงคุณภาพจนส่งถึงมือลูกค้าแน่นอน ทำไมอากาศร้อน ทำให้สกินแคร์เสื่อมคุณภาพ สินค้าสกินแคร์ เช่น เซรั่ม ครีม หรือโทนเนอร์ ล้วนมีส่วนประกอบที่อ่อนไหวต่อความร้อน หากสินค้าเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิที่สูงเกินไป สารออกฤทธิ์ที่สำคัญจะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประสิทธิภาพในการบำรุงผิวลดลง สินค้าบางประเภทที่มีสารสำคัญเช่น วิตามินซีหรือเรตินอล จะมีความไวต่อความร้อนมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ของสินค้าก็อาจได้รับผลกระทบจากความร้อน เช่น การละลายหรือเปลี่ยนรูป ทำให้เกิดปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีได้ วิธีเก็บสินค้าสกินแคร์ช่วงหน้าร้อน หน้าร้อนของเมืองไทยไม่เพียงแต่กระทบอารมณ์คน แต่ยังส่งผลอย่างมากต่อคุณภาพของสินค้าสกินแคร์ โดยเฉพาะแบรนด์ที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า การจัดเก็บสินค้าอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อไม่ให้ “สินค้าเสื่อม” ก่อนถึงมือลูกค้า ลองดูวิธีการดูแลและจัดเก็บสินค้าสกินแคร์ช่วงหน้าร้อนให้ปลอดภัยและคงประสิทธิภาพดังนี้ สถานที่เก็บสินค้าควรมีอุณหภูมิคงที่ ไม่ร้อนอบอ้าว และหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง เพราะความร้อนและแสงแดดสามารถทำลายสารบำรุงในสกินแคร์ โดยเฉพาะวิตามิน C และสารสกัดธรรมชาติที่ไวต่ออุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บคือ 15–25°C ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของสินค้าได้ดี ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อับลมหรือไม่มีการระบายอากาศ และอย่าลืมตรวจสอบฉลากเพื่อดูคำแนะนำการจัดเก็บเพิ่มเติมจากผู้ผลิต หากยังไม่มีห้องควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่จัดเก็บสินค้า อาจพิจารณาติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสม […]

ทำไมใช้ seller center แล้วต้องใช้บริการ MyCloudFulfillment?

ทำไมใช้ seller center แล้วต้องใช้ MyCloudFulfillment?                   ใช้งาน seller center ขายของบน Marketplace อย่าง Lazada และ Shopee ผู้ขายเคยประสบปัญหาแบบนี้กันไหมคะ? ต้องจัดการหน้าร้านค้า แชทลูกค้าก็ต้องตอบ คะแนนร้านค้ายิ่งต้องรักษา เพื่อโอกาสร่วมแคมเปญต่าง ๆ อีกทั้งเมื่อมีออเดอร์เข้ามามากขึ้น ก็ต้อง แพ็ค และส่งให้ทันระยะเวลา SLA อีก ทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองไหวไหมคะ? หากไม่ไหว และกำลังมองหาตัวช่วย MyCloud คือผู้ให้บริการ Fulfillment ที่จะตอบทุกโจทย์ธุรกิจออนไลน์ของคุณค่ะ เพราะการขายของผ่านระบบ Seller Center ก็ต้องจัดการหลังบ้านอย่างเป็นระบบด้วยเช่นกัน เรามาทำความรู้จักบริการ Fulfillment ที่เกิดมาเพื่อช่วยหลังบ้านธุรกิจ E-Commerce อย่างมืออาชีพโดยเฉพาะผู้ขายที่ใช้งาน seller center ผ่าน Lazada หรือ […]

คู่มือสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง 

หากพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ก็คงเป็นเรื่องที่ดูจะง่ายดายใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้วหลายคนอาจไม่ทราบว่าการขายของออนไลน์นั้นต้องมีการจดทะเบียนตามกฎหมายเช่นเดียวกับการเปิดร้านค้าแบบมีหน้าร้าน เพราะการจดทะเบียนนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ MyCloud จะพาคุณไปดูว่า การจดทะเบียนขายของออนไลน์ ตั้งแต่การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปจนถึงการจดทะเบียนรับรองคุณภาพสินค้า พร้อมเอกสารที่จำเป็นทั้งสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีอะไรและมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง     ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง การขายของออนไลน์ในปัจจุบันนั้นมีขั้นตอนทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเพื่อให้ธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งหลัก ๆ แล้ว ต้องจดทะเบียนทั้ง 3 อย่าง ดังนี้  1. จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD) สำหรับผู้ขายออนไลน์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ถือว่าเป็นวิธีที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณได้ เนื่องจากการขายสินค้าออนไลน์ก็เปรียบเสมือนการมีหน้าร้าน จึงต้องมีการจดทะเบียนเช่นเดียวกับร้านค้าทั่วไป แต่จะแตกต่างตรงที่เป็นการจดทะเบียนพาณิชย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันตัวตนของผู้ประกอบการและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าธุรกิจของคุณมีตัวตนที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น  2. จดภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด หากธุรกิจของคุณยังไม่ถึงเกณฑ์นี้แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต การขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมถือเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตไปถึงยอดขายตามเงื่อนไขได้ ซึ่งปกติธุรกิจส่วนใหญ่ก็มักขายผ่าน Marketplace ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ […]

สินค้าเสื่อม !Cosmetics &Skincare ร้อนนี้เก็บยังไงดี

เจ้าของธุรกิจสกินแคร์หลายๆคนคงต้องเคยเจอกับปัญหา สินค้าเสื่อม อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้นแบบนี้ อาจทำให้สินค้าที่ลงทุนมาด้วยความตั้งใจกลับเสียหาย ทั้งสีเปลี่ยน กลิ่นเปลี่ยน หรือเนื้อครีมแยกชั้นจนใช้งานไม่ได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือและยอดขายของธุรกิจคุณ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะบทความนี้จะช่วยให้คุณรู้วิธีเก็บรักษาสินค้าสกินแคร์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมขาย แม้ต้องเจอกับอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทยก็ยังมั่นใจได้ว่าคุณภาพสินค้าจะยังคงคุณภาพจนส่งถึงมือลูกค้าแน่นอน ทำไมอากาศร้อน ทำให้สกินแคร์เสื่อมคุณภาพ สินค้าสกินแคร์ เช่น เซรั่ม ครีม หรือโทนเนอร์ ล้วนมีส่วนประกอบที่อ่อนไหวต่อความร้อน หากสินค้าเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิที่สูงเกินไป สารออกฤทธิ์ที่สำคัญจะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประสิทธิภาพในการบำรุงผิวลดลง สินค้าบางประเภทที่มีสารสำคัญเช่น วิตามินซีหรือเรตินอล จะมีความไวต่อความร้อนมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ของสินค้าก็อาจได้รับผลกระทบจากความร้อน เช่น การละลายหรือเปลี่ยนรูป ทำให้เกิดปัญหาการปนเปื้อนของสารเคมีได้ วิธีเก็บสินค้าสกินแคร์ช่วงหน้าร้อน หน้าร้อนของเมืองไทยไม่เพียงแต่กระทบอารมณ์คน แต่ยังส่งผลอย่างมากต่อคุณภาพของสินค้าสกินแคร์ โดยเฉพาะแบรนด์ที่ใส่ใจเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า การจัดเก็บสินค้าอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อไม่ให้ “สินค้าเสื่อม” ก่อนถึงมือลูกค้า ลองดูวิธีการดูแลและจัดเก็บสินค้าสกินแคร์ช่วงหน้าร้อนให้ปลอดภัยและคงประสิทธิภาพดังนี้ สถานที่เก็บสินค้าควรมีอุณหภูมิคงที่ ไม่ร้อนอบอ้าว และหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง เพราะความร้อนและแสงแดดสามารถทำลายสารบำรุงในสกินแคร์ โดยเฉพาะวิตามิน C และสารสกัดธรรมชาติที่ไวต่ออุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเก็บคือ 15–25°C ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของสินค้าได้ดี ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อับลมหรือไม่มีการระบายอากาศ และอย่าลืมตรวจสอบฉลากเพื่อดูคำแนะนำการจัดเก็บเพิ่มเติมจากผู้ผลิต หากยังไม่มีห้องควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่จัดเก็บสินค้า อาจพิจารณาติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสม […]

ทำไมใช้ seller center แล้วต้องใช้บริการ MyCloudFulfillment?

ทำไมใช้ seller center แล้วต้องใช้ MyCloudFulfillment?                   ใช้งาน seller center ขายของบน Marketplace อย่าง Lazada และ Shopee ผู้ขายเคยประสบปัญหาแบบนี้กันไหมคะ? ต้องจัดการหน้าร้านค้า แชทลูกค้าก็ต้องตอบ คะแนนร้านค้ายิ่งต้องรักษา เพื่อโอกาสร่วมแคมเปญต่าง ๆ อีกทั้งเมื่อมีออเดอร์เข้ามามากขึ้น ก็ต้อง แพ็ค และส่งให้ทันระยะเวลา SLA อีก ทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองไหวไหมคะ? หากไม่ไหว และกำลังมองหาตัวช่วย MyCloud คือผู้ให้บริการ Fulfillment ที่จะตอบทุกโจทย์ธุรกิจออนไลน์ของคุณค่ะ เพราะการขายของผ่านระบบ Seller Center ก็ต้องจัดการหลังบ้านอย่างเป็นระบบด้วยเช่นกัน เรามาทำความรู้จักบริการ Fulfillment ที่เกิดมาเพื่อช่วยหลังบ้านธุรกิจ E-Commerce อย่างมืออาชีพโดยเฉพาะผู้ขายที่ใช้งาน seller center ผ่าน Lazada หรือ […]

คู่มือสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง 

หากพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ก็คงเป็นเรื่องที่ดูจะง่ายดายใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้วหลายคนอาจไม่ทราบว่าการขายของออนไลน์นั้นต้องมีการจดทะเบียนตามกฎหมายเช่นเดียวกับการเปิดร้านค้าแบบมีหน้าร้าน เพราะการจดทะเบียนนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ MyCloud จะพาคุณไปดูว่า การจดทะเบียนขายของออนไลน์ ตั้งแต่การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปจนถึงการจดทะเบียนรับรองคุณภาพสินค้า พร้อมเอกสารที่จำเป็นทั้งสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีอะไรและมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง     ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง การขายของออนไลน์ในปัจจุบันนั้นมีขั้นตอนทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเพื่อให้ธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งหลัก ๆ แล้ว ต้องจดทะเบียนทั้ง 3 อย่าง ดังนี้  1. จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD) สำหรับผู้ขายออนไลน์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ถือว่าเป็นวิธีที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณได้ เนื่องจากการขายสินค้าออนไลน์ก็เปรียบเสมือนการมีหน้าร้าน จึงต้องมีการจดทะเบียนเช่นเดียวกับร้านค้าทั่วไป แต่จะแตกต่างตรงที่เป็นการจดทะเบียนพาณิชย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันตัวตนของผู้ประกอบการและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าธุรกิจของคุณมีตัวตนที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น  2. จดภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด หากธุรกิจของคุณยังไม่ถึงเกณฑ์นี้แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต การขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมถือเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตไปถึงยอดขายตามเงื่อนไขได้ ซึ่งปกติธุรกิจส่วนใหญ่ก็มักขายผ่าน Marketplace ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ […]