ใครว่าขายของออนไลน์นั้นง่าย? แค่มีสินค้าดีอย่างเดียวคงไม่พอ! การจะมัดใจลูกค้าให้ควักเงินในกระเป๋าออกมานั้น ต้องอาศัยกลยุทธ์การขายที่ช่วยดักลูกค้าเอาไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มโฆษณาโปรโมตสินค้าเลยนั้นก็คือการเขียน “แคปชั่นขายของ” ที่มีประโยคเด็ดๆ โดนๆ ช่วยหยุดนิ้วลูกค้าที่อาจจะไถมือถืออยู่ให้หยุดดูโฆษณาสินค้าของเรา แต่จะเขียนแคปชั่นยังไงให้ปัง ให้คนกดไลค์ กดแชร์ และยอมกดซื้อสินค้าได้จนยอดขายพุ่งกระฉูด? บอกเลยว่าไม่ยาก! ในบทความนี้ MyCloud เรามีเคล็ดลับเด็ดๆพร้อมไอเดียเจ๋งๆในการเขียน “แคปชั่นขายของ” แบบจัดเต็มมาฝากแม่ค้าพ่อค้าออนไลน์กัน รับรองว่าอ่านจบปุ๊บ ยอดขายมาปั๊บแน่นอน!
แคปชั่นขายของ… ทำไมถึงสำคัญ?
1.ช่วยดึงดูดความสนใจ ในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยคอนเทนต์มากมาย การที่ลูกค้าจะหยุดนิ้วอ่านโพสต์ของคุณนั้น แคปชั่นต้องโดน! เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดสายตา ให้ลูกค้าสะดุดกับสินค้าของคุณตั้งแต่แรกเห็น ลองคิดดูว่าถ้าโพสต์ของคุณมีแค่รูปสินค้าสวยๆ แต่ไม่มีแคปชั่น หรือมีแคปชั่นที่อ่านไม่รู้เรื่อง ลูกค้าจะสนใจไหม? ดังนั้น แคปชั่นที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้โพสต์ของคุณโดดเด่นและน่าสนใจ
2.แคปชั่นสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากจะดึงดูดความสนใจแล้ว แคปชั่นยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าของคุณได้อีกด้วย การให้ข้อมูลสินค้าที่ชัดเจน ครบถ้วน และตรงไปตรงมา จะช่วยให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในสินค้าและบริการของคุณ เช่น ถ้าคุณขายเครื่องสำอาง การมีแคปชั่นที่อธิบายส่วนผสม วิธีใช้ และผลลัพธ์ที่ชัดเจน จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
3.แคปชั่นช่วยกระตุ้นยอดขาย แคปชั่นที่เปี่ยมไปด้วยพลัง มีลูกเล่น และสามารถกระตุ้นความต้องการของลูกค้าได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ลองนึกภาพว่าถ้าคุณมีแคปชั่นที่บอกว่า “สินค้าลดราคาพิเศษเฉพาะวันนี้เท่านั้น!” ลูกค้าจะรู้สึกเร่งด่วนและอยากซื้อสินค้าของคุณมากขึ้น หรือถ้าคุณมีแคปชั่นที่เน้นถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้า เช่น “เสื้อตัวนี้ใส่แล้วผอมเพรียว” ก็จะช่วยกระตุ้นความต้องการของลูกค้าได้
4.สร้างแบรนด์ แคปชั่นที่เป็นเอกลักษณ์ มีสไตล์ และสื่อถึงตัวตนของแบรนด์ จะช่วยให้ลูกค้าจดจำร้านค้าของคุณได้ในระยะยาว ลองคิดดูว่าถ้าคุณมีแคปชั่นที่ตลก ขี้เล่น หรือมีวลีเด็ดที่คนพูดถึงกัน ก็จะช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ของคุณได้มากขึ้น และทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น
6 ไอเดียเขียน แคปชั่นขายของ ให้ปังๆมีอะไรบ้าง?
1.แคปชั่นขายของกระตุ้นความเร่งด่วน (FOMO – Fear of Missing Out)
FOMO (Fear of Missing Out) คืออาการ “กลัวตกกระแส” หรือ “กลัวพลาดโอกาส” เป็นความรู้สึกที่ผู้คนไม่อยากพลาดประสบการณ์หรือผลประโยชน์บางอย่างที่คนอื่นได้รับ ทำให้เกิดความกังวลและกระตุ้นให้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสนั้นไป “ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ จะพลาดโอกาสดีๆ ไป” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ได้ผล เพราะมนุษย์มักจะไม่อยากพลาดสิ่งที่คนอื่นมีหรือได้ แต่อย่าใช้ FOMO มากเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อหน่ายและไม่เชื่อถือและต้องมีความจริงใจ สินค้าหรือโปรโมชั่นของคุณต้องดีจริง ไม่ใช่แค่สร้าง FOMO เพื่อหลอกลวงลูกค้า
- สินค้ารุ่น Limited Edition! เหลือเพียง 10 ชิ้นสุดท้ายเท่านั้น! (กระตุ้นความรู้สึกเร่งด่วน เพราะสินค้ามีจำนวนจำกัด)
- โปรโมชั่นพิเศษเฉพาะวันนี้! ซื้อ 1 แถม 1! อย่ารอช้า! (กระตุ้นความรู้สึกเสียดาย ถ้าพลาดโปรโมชั่นนี้)
- รีวิวจากผู้ใช้จริง! สินค้านี้ดีมาก! คนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง! คุณล่ะมีหรือยัง? (กระตุ้นความรู้สึกอยากมี อยากใช้ เหมือนคนอื่น)
- อย่ารอจนหมด! สินค้านี้ขายดีมาก! สั่งซื้อตอนนี้เลย!(กระตุ้นความรู้สึกกลัวสินค้าหมด)
- เพื่อนๆ ซื้อกันเพียบ! คุณไม่อยากตกเทรนด์ใช่ไหม?” (กระตุ้นความรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในกระแส)
เคล็ดลับการใช้แคปชั่น FOMO
- สร้างความรู้สึกเร่งด่วน: ใช้คำเช่น “ด่วน!”, “วันนี้เท่านั้น!”, “จำนวนจำกัด!
- เน้นจำนวนจำกัด: บอกจำนวนสินค้าที่เหลือ หรือระยะเวลาโปรโมชั่นที่จำกัด
- ใช้คำที่ดึงดูด: เช่น “พิเศษ”, “สุดคุ้ม”, “ห้ามพลาด”
- สร้างความรู้สึกว่าพลาดไม่ได้: เช่น “ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ จะเสียใจ”
- ใช้ Social Proof: อ้างอิงถึงจำนวนคนที่ซื้อ หรือรีวิวจากผู้ใช้จริง
2. แคปชั่นขายของเน้นความคุ้มค่า (ของแถม/โปรโมชัน/ลดราคา)
แคปชั่นเน้นความคุ้มค่า เป็นแคปชั่นที่เน้นย้ำถึงข้อเสนอพิเศษต่างๆ ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นของแถม โปรโมชั่น หรือส่วนลดต่างๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นยอดขาย ดึงดูดลูกค้า และสร้างความรู้สึกอยากซื้อ หลักการสำคัญคือการสื่อสารให้ลูกค้าเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาจะได้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง เช่น
- ของแถม: “ซื้อ 1 แถม 1” , “แถมฟรี! กระเป๋าสุดชิค มูลค่า 500 บาท”
- โปรโมชั่น: “ลดราคา 50% ทุกชิ้น” , “ส่งฟรีทั่วประเทศ” , “ซื้อครบ 1,000 บาท รับส่วนลด 200 บาท”
- ลดราคา: “ลดกระหน่ำ! สินค้าราคาพิเศษ” , “ลดล้างสต็อก! ราคาถูกที่สุดในรอบปี”
ตัวอย่างแคปชั่นเน้นความคุ้มค่า
- โปรแรงแซงทางโค้ง! ซื้อคู่ถูกกว่า! ซื้อเสื้อ + กางเกง รับส่วนลดทันที 100 บาท!
- เซ็ตสุดคุ้ม! ซื้อครีมบำรุงผิวหน้า รับฟรี! เซรั่มบำรุงผิว มูลค่า 1,000 บาท!
- ฉลองครบรอบ 1 ปี! ลดราคาสินค้าทั้งร้าน 30%! เฉพาะ 3 วันนี้เท่านั้น!
- ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซื้อ 2 แถม 1 เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ
เคล็ดลับการเขียนแคปชั่นเน้นความคุ้มค่า
- ใช้ตัวเลข: เช่น “ลด 50%” , “ซื้อ 1 แถม 1” ช่วยให้เห็นภาพชัดเจน
- เน้นย้ำความพิเศษ: เช่น “เฉพาะวันนี้เท่านั้น” , “จำนวนจำกัด”
- ใช้คำกระตุ้น: เช่น “รีบเลย!” , “อย่าพลาด!” , “ช้าหมดอด!”
- สื่อสารให้ชัดเจน: ลูกค้าต้องเข้าใจง่ายๆ ว่าได้อะไรบ้าง
แคปชั่นเน้นความคุ้มค่า ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่า “คุ้ม” ที่จะซื้อสินค้าของคุณ และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
3.แคปชั่นขายของกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก (Emotional Selling)
แคปชั่นกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก (Emotional Selling) คือการใช้ภาษาที่เข้าถึงอารมณ์ของลูกค้า เพื่อสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับสินค้าหรือแบรนด์ของคุณ ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ ทำให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิด และจดจำแบรนด์ของคุณได้มากขึ้น โดยอาจใช้ การเล่าเรื่องราวที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอิน เห็นอกเห็นใจ หรือมีอารมณ์ร่วม,คำพูดที่กินใจ ที่สวยงาม สร้างแรงบันดาลใจ หรือปลุกความรู้สึกบางอย่าง หรือหากเน้นที่ภาพลักษณ์ก็อาจจะใช้รูปภาพหรือวิดีโอที่สื่ออารมณ์ เช่น ความสุข ความอบอุ่น ความประทับใจ
ตัวอย่างแคปชั่นกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึก
- ของขวัญแทนใจ บอกรักแม่ด้วยช่อดอกไม้ ส่งตรงถึงบ้าน (เน้นความรัก ความอบอุ่น)
- เริ่มต้นเช้าวันใหม่ ด้วยกาแฟหอมกรุ่น เติมพลังให้พร้อมลุย! (เน้นความสดชื่น ความกระปรี้กระเปร่า)
- อย่ายอมแพ้! ลุกขึ้นสู้ พิชิตเป้าหมายของคุณให้สำเร็จ! (เน้นแรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่น)
- เพราะลูกน้อยคือหัวใจของแม่ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก ด้วยผลิตภัณฑ์ของเรา (เน้นความรัก ความห่วงใย)
- ส่งต่อรอยยิ้ม แบ่งปันความสุข ด้วยขนมอร่อยๆ (เน้นความสุข ความรื่นเริง)
เคล็ดลับการเขียนแคปชั่นกระตุ้นอารมณ์
- เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย: ต้องรู้ว่าลูกค้าของคุณเป็นใคร มีไลฟ์สไตล์ ความสนใจ และความต้องการอย่างไร
- เลือกใช้ภาษาที่เหมาะสม: ใช้ภาษาที่เข้าถึงง่าย ตรงไปตรงมา และสื่อสารอารมณ์ได้อย่างชัดเจน
- ใช้ Storytelling: เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ สร้างความประทับใจ และเชื่อมโยงกับสินค้าของคุณ
- ใช้ภาพที่สื่ออารมณ์: ภาพสวยๆ ช่วยเสริมพลังให้กับแคปชั่นของคุณ
4. แคปชั่นขายของที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ (Exclusive / VIP Deals)
แคปชั่นที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ (Exclusive / VIP Deals) คือ แคปชั่นที่มอบสิทธิพิเศษหรือข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้ากลุ่มเฉพาะ เช่น สมาชิก VIP, ลูกค้าที่ติดตามเพจ, หรือลูกค้าที่ซื้อสินค้าเป็นประจำ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความรู้สึกพิเศษ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าตัวเองมีค่า เป็นคนสำคัญ และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์ และกระตุ้นยอดขายได้
ตัวอย่างแคปชั่น
- สำหรับลูกค้า VIP เท่านั้น! รับส่วนลด 15% เพียงแสดงบัตรสมาชิก
- ขอบคุณที่ติดตามเรามาตลอด! ลูกค้าที่กดไลค์และแชร์โพสต์นี้ รับฟรี! บัตรกำนัลส่วนลด 100 บาท
5.แคปชั่นขายของที่ช่วยปิดการขายแบบเนียนๆ
แคปชั่นที่ช่วยปิดการขายแบบเนียนๆ คือ กลยุทธ์การใช้ภาษาที่เชิญชวนลูกค้าให้ซื้อสินค้าโดยไม่รู้สึกถูกกดดันหรือยัดเยียดขาย เปรียบเสมือนการ “สะกิด” เบาๆ ให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของสินค้าขึ้นมา
เทคนิคการเขียนแคปชั่นปิดการขายแบบเนียนๆ
- การตั้งคำถาม: กระตุ้นให้ลูกค้าคิดและตอบคำถามในใจ เช่น “อยากมีผิวสวยใส ไร้สิว แบบนี้บ้างไหม?” , “พร้อมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วหรือยัง?”
- การสร้างสถานการณ์สมมติ: ให้ลูกค้าจินตนาการถึงประโยชน์หรือความรู้สึกที่จะได้รับจากการใช้สินค้า เช่น “ลองนึกภาพ… คุณกำลังพักผ่อนริมชายหาด พร้อมจิบเครื่องดื่มเย็นๆ สวมใส่ชุดว่ายน้ำตัวใหม่จากร้านเรา ฟินแค่ไหน?”
- การใช้คำพูดเชิงบวก: สร้างความรู้สึกที่ดี เช่น “รับรองว่าคุณจะต้องหลงรัก” , “สินค้าคุณภาพดี ราคาคุ้มค่า พลาดไม่ได้แล้ว!”
- การบอกใบ้ถึงข้อจำกัด: เช่น “สินค้ามีจำนวนจำกัด” , “โปรโมชั่นเฉพาะวันนี้เท่านั้น” เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น
- การใช้ Call to action แบบอ้อมๆ: เช่น “ทักแชทมาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย” , “ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่าง”
ตัวอย่างแคปชั่นปิดการขายแบบเนียนๆ
- อยากเปลี่ยนลุคให้สวยปัง รับปีใหม่นี้ไหม? ชุดเดรสคอลเลคชั่นใหม่ รอคุณอยู่นะ
- ยามบ่ายแบบนี้ ต้องคู่กับกาแฟหอมกรุ่น แก้วโปรด แล้วคุณล่ะ พร้อมดื่มด่ำกับช่วงเวลาดีๆ แล้วหรือยัง?
- เซอร์ไพรส์คนที่คุณรัก ด้วยของขวัญสุดพิเศษ ที่เขาจะต้องประทับใจ สินค้าพร้อมส่ง ทักแชทเลย!
- เติมสีสันให้ชีวิต ด้วยเคสมือถือดีไซน์เก๋ ไม่ซ้ำใคร มีให้เลือกหลากหลายแบบ ตามสไตล์คุณ
- หน้าร้อนนี้ ต้องมีไอเทมนี้! หมวกปีกกว้าง กันแดด ช่วยปกป้องผิว พร้อมเพิ่มความชิค ให้กับทุกทริป
6.แคปชั่นขายของแบบคำถาม กระตุ้นให้ลูกค้าตอบกลับ
แคปชั่นแบบคำถาม คือกลยุทธ์การใช้คำถามเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า กระตุ้นให้พวกเขาเกิดความอยากมีส่วนร่วม และตอบกลับโพสต์ของคุณ ซึ่งเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เพิ่ม Engagement และทำให้โพสต์ของคุณเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
คำถามที่ใช้ควรมีความเกี่ยวข้องกับสินค้า แบรนด์ หรือไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เพื่อให้พวกเขาสามารถตอบได้อย่างง่ายดายและรู้สึกว่าคำถามนั้นตรงใจพวกเขา
หลักการเขียนแคปชั่นแบบคำถาม
- ตั้งคำถามที่ง่ายและตรงไปตรงมา: หลีกเลี่ยงคำถามที่ซับซ้อนหรือต้องใช้ความคิดนาน ควรเป็นคำถามที่ลูกค้าสามารถตอบได้ทันที
- เชื่อมโยงกับสินค้าหรือแบรนด์: คำถามควรเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือแบรนด์ของคุณ เพื่อให้ลูกค้าสนใจและอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม
- กระตุ้นความรู้สึกอยากมีส่วนร่วม: ใช้คำถามที่กระตุ้นให้ลูกค้าอยากแสดงความคิดเห็นหรือแชร์ประสบการณ์ของตนเอง
- สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง: ใช้ภาษาที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจที่จะตอบคำถาม
ตัวอย่างแคปชั่นแบบคำถาม
- เกี่ยวกับสินค้า:
- ชอบสีไหนมากกว่ากัน? แดง หรือ น้ำเงิน
- “ใครเคยใช้สินค้าตัวนี้แล้วบ้าง? รีวิวให้ฟังหน่อย!
- “อยากได้กระเป๋าแบบไหน? สะพายข้าง หรือ เป้
- เกี่ยวกับแบรนด์:
- “รู้จักแบรนด์ของเรามานานแค่ไหนแล้ว?
- “ชอบสินค้าชิ้นไหนของแบรนด์เรามากที่สุด?
- “อยากให้แบรนด์เรามีสินค้าอะไรเพิ่มอีกบ้าง?
- เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์:
- “วันหยุดนี้มีแพลนไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง?
- “ใครเป็นสายกินบ้าง? ชอบอาหารประเภทไหน?
- “ใครเลี้ยงสัตว์บ้าง? โชว์ภาพน้องหมาน้องแมวหน่อย!
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- ใช้ Emoji: ช่วยให้แคปชั่นดูน่าสนใจและมีชีวิตชีวามากขึ้น
- ตั้งคำถามปลายเปิด: กระตุ้นให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ
- ตอบกลับความคิดเห็น: สร้างความรู้สึกว่าคุณใส่ใจและให้ความสำคัญกับลูกค้า
แคปชั่นแบบคำถาม เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพิ่มการมีส่วนร่วม และทำให้โพสต์ของคุณเป็นที่น่าจดจำ ลองนำไปปรับใช้กับโพสต์ของคุณดูนะคะ!
สรุปบทความ
นอกจากสินค้าดี แคปชั่นโดน เปลี่ยนจากคนดูมาเป็นคนซื้อได้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่ร้านค้าออนไลน์ต้องให้ความสำคัญคงไม่พ้นเรื่องออเดอร์ที่เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าคุณจะมีร้านค้าออนไลน์อยู่ช่องทางไหน การที่สินค้าถูกจัดการและจัดส่งถึงมือลูกค้าได้นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ยอดขานจะตามมาอย่างแน่นอน เพราะหากขายดีแล้วแต่ไม่สามารถจัดการออเดอร์ได้ทันแน่นอนว่า ปัญหาต่างๆเช่น ออเดอร์ถูกยกเลิกจาก Marketplace หรือส่งช้าเกินไปลูกค้าขอยกเลิกเอง นั่นคงเป็นสิ่งที่ร้านค้าออนไลน์หลายๆร้านไม่อยากให้เกิดขึ้นใช่มั้ยละค่ะ และหากเป็นอย่างนั้นละก็เราแนะนำให้คุณหาพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยให้คุณจัดการเรื่องออเดอร์จะดีกว่าค่ะ ที่ MyCloud Fulfillment คลังสินค้าออนไลน์ที่ครบวรจร ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณจัดการออเดอร์ได้เร็ว ส่งทันตามรอบแต่ละมาเกตเพลสแล้วนั้น เรายังมีระบบการจัดการออเดอร์รองรับร้านค้าออนไลน์ที่ขายอยู่หลายช่องทางอีกด้วย ซึ่งต้องบอกว่า ขายออนไลน์ยุคนี้ทำเรื่องหน้าบ้านให้แข็งแรงอย่าง เรื่องการทำการตลาด,การยิง Ads,หรือแม้การทำแคปชั่นขายของแบบโดนๆให้ได้ใจลูกค้าและยอมกดซื้อแล้ว เรื่องหลังบ้านก็ต้องสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะถ้าอย่างใดอย่างนึงพัง คุณอาจตามไม่ทันคู่แข็งก็ได้นะคะ
MyCloud Fufillment คลังสินค้าออนไลน์ที่พร้อมรองรับทุกการเติบโตของทุกขนาดธุรกิจ ด้วยบริการที่ครบวงจรตั้ง เก็บสินค้า แพ็กสินค้า จัดส่งสินค้า ระบบการเชื่อมต่อช่องทางการขายหลายๆช่องทางทั้ง Marketplace (Shopee,Lazada,TikTok Shop,Line Shopping) อีกทั้งหากคุณเป็นคนที่เน้นขายออนไลน์ทาง Social Commerce อย่าง Facebook,Instageam หรือทาง Line OA เมื่อทำโพสต์โฆษณาเด็ดๆ แคปชั่นโดนๆ แล้วลากลูกค้าเข้ามายังแชทพูดคุยจนถึงขั้นตอนปิดจบการขายได้แล้วเรายังมีฟีเจอร์ Chat Commerce ลิงก์ชำระเงินที่ช่วยให้การจ่ายเงินของลูกค้าผ่านทางแชทนั้นง่ายยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้สะดวกต่อลูกค้า ร้านค้าเองก็ตรวจสอบยอดเงินเข้าได้ทันที อีกทั้งออเดอร์ที่ถูกสร้างขึ้นจากลิงก์นั้นๆ ก็จะถูกส่งไปที่ระบบคลังสินค้าของ MyCloud เพื่อทำการแพ็คและจัดส่งได้ทันที ร้านค้าก็ไม่ต้องเสียเวลามานั่งคีย์ออเดอร์ย้อนหลังและป้องกันปัญหาออดอร์หลุดอีกด้วย ช่วยให้คุณขายได้อย่างราบรื่นไม่ติดปัญหา และไม่ต้องมาวุ่นวายเรื่องการจัดการระบบและการจัดการหลังบ้าน มีเวลาไปทำการตลาด คิดแคปชั่นขายของที่เด็ดๆเพื่อเพิ่มยอดขายได้อย่างสบายๆ สามารถติดต่อ MyCloud Fulfillment เพื่อสอบถามบริการได้เลยค่ะ