Knowledge Center

CRM คืออะไร ช่วยรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไรบ้าง

CRM คืออะไร

ขายของยุคนี้ ไม่ใช่แค่ซื้อมาแล้วขายไป เพราะการขายสินค้าไปได้ครั้งเดียว แล้วต้องหาลูกค้าใหม่เรื่อย ๆ อยู่ตลอด มันเหนื่อยเกินไปครับ และอาจได้ไม่คุ้มเสียอีกด้วย เพราะจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น เพื่อใช้ในการดึงดูดลูกค้าใหม่ เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญในการตลาดยุคใหม่จึงเน้นใส่ใจประสบการณ์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และหันมาทำ CRM เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ให้ผู้ซื้อเกิดความประทับใจจนนำไปสู่การซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง และรักษาฐานลูกค้า เพื่อให้มีการบอกต่อหรือแนะนำคนใกล้ตัวของเขาให้มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการเราได้ในอนาคตครับ

CRM คืออะไร ?

Customer Relationship Management (CRM) คือ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งหมายถึงวิธีการที่เราจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มยอดขายและ เก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้าในระยะยาว การทำ CRM จะช่วยสร้างทัศนคติที่ดีให้กับลูกค้า ให้มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ต่อสินค้าหรือบริการ

ประเภทของ CRM

หลังจากที่ทำความรู้จักกันไปแล้วว่า CRM คืออะไร มาดูกันดีกว่าครับว่า CRM หรือการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า มีกี่ประเภท อะไรบ้าง 

Operational CRM 

Operational CRM คือระบบที่ช่วยจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า เช่น ข้อมูลการติดต่อกับลูกค้า ข้อมูลการบริการ ใบเสนอราคา หรือข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการทำงานคล่องตัวและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ Relationship Marketing หรือการตลาดเชิงสัมพันธ์ ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระบบย่อย ได้แก่

  • Sale Automation (ระบบการขายอัตโนมัติ) ช่วยจัดระเบียบงานขายให้ง่ายขึ้น ลดความซับซ้อนในการติดตามและปิดการขาย 
  • Marketing Automation (ระบบการตลาดอัตโนมัติ) เป็นช่องทางในการทำ PR และโปรโมตสินค้าหรือบริการ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า 
  • Service Automation (ระบบบริการอัตโนมัติ) สนับสนุนให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด มักใช้ในระบบ Call Center หรือระบบช่วยเหลือลูกค้า 

Analytical CRM 

Analytical CRM คือระบบที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำมาสร้างหรือปรับปรุงแผนการรตลาดในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า ให้เกิดความประทับใจและซื้อของในระยะยาว การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ CRM ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เช่น ข้อมูลประวัติการซื้อสินค้า ช่องทางการติดต่อที่ลูกค้าใช้บ่อย สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อย หรือสินค้าใดที่ไม่ได้รับความสนใจ ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการตลาดของลูกค้า ซึ่งข้อมูลตรงนี้ก็จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น 

Collaborative CRM

Collaborative CRM คือระบบที่ช่วยให้การติดต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย อาทิเช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล เว็บไซต์ แฟกซ์ จดหมาย เป็นตัวช่วยให้จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ สนับสนุนให้ง่ายต่อการบริการลูกค้า 

ขั้นตอนการทำ CRM 

CRM ไม่ได้เป็นเพียงแค่การใช้ซอฟต์แวร์หรือระบบเทคโนโลยี แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างยั่งยืน ทั้งนี้การทำ CRM ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ครับ 

1. Identify

ขั้นตอนการเก็บข้อมูลของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-สกุล อายุ อาชีพ ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ และช่องทางการติดต่ออื่น ๆ

2. Differentiate

ขั้นตอนการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพราะลูกค้าแต่ละคนมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าที่แตกต่างกัน และเหมือนกันในบางจุด ดังนั้นควรวิเคราะห์ และจัดกลุ่มของลูกค้าเอาไว้ 

3. Interact

ขั้นตอนการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อค้นหาและทำความเข้าใจ Painpoint ของลูกค้า เเละช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ ก็จะช่วยให้ลูกค้าประทับใจ และสร้างความพึงพอใจต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว 

4. Customize

ขั้นตอนการปรับแต่งการนำเสนอสินค้าหรือบริการ ให้มีความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน โดยการนำระบบ CRM มาช่วยในการจัดการฐานข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร  

ประโยชน์ของการทำ CRM

1. เพิ่มยอดขายและลดต้นทุนในการดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ

การรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้าช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ และกลับมาซื้อหรือใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เป็นการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร รวมไปถึงการชักชวนคนใกล้ตัวให้รู้จักแบรนด์ ซึ่งช่วยให้แบรนด์ไม่ต้องเสียต้นทุนในการดึงดูด หรือหาลูกค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น การโฆษณา หรือการทำแคมเปญต่าง ๆ  

2. ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ไม่ใช้แค่แผนกการขาย แต่รวมถึงทุกฝ่ายที่ทำงานเกี่ยวข้องกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น การตลาด Customer Service ฝ่ายบัญชี ฝ่ายสินค้าคงคลัง หรือ ฝ่ายการจัดส่ง เพราะการรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลกลาง ทำให้ทุกฝ่ายประสานงานกันได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีความเข้าใจตรงกัน ทำให้ลดการเกิดความผิดพลาดลงได้ นอกจากนี้ข้อมูลเหล่านั้นยังช่วยในการวางแผนการทำงานในอนาคต เพื่อพัฒนาธุรกิจให้ยั่งยืนอีกด้วย 

3. สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าหรือบริการ

เพราะปัจจุบันลูกค้าไม่เพียงแต่หาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ แต่ยังหาร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่สร้างความพึงพอใจให้ได้มากที่สุด สิ่งที่ลูกค้าต้องการจึงไม่ใช่แค่คุณค่าจากคุณภาพสินค้าและบริการ แต่เป็นการบริการที่ดี ผู้ขายยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี มีมารยาท และใส่ใจต่อลูกค้า ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่จะพึ่งระบบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยครับ นอกจากนั้นการบริการเฉพาะตัวเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเเบรนด์และทำให้แต่ละเเบรนด์แตกต่างกันด้วยครับ 

4. รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับฐานลูกค้าเก่า 

การรักษาฐานลูกค้าเก่ามีความสำคัญไม่แพ้การหาลูกค้าใหม่ เพราะลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการแล้วมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำหากได้รับประสบการณ์ที่ดี การทำ CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและสื่อสารกับลูกค้าเก่าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล ข้อความ หรือโปรโมชั่นพิเศษที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ เพิ่มความภักดี (Brand Loyalty) และลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่ง ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเก่าและดูแลอย่างใกล้ชิดจะได้รับประโยชน์ระยะยาว ไม่เพียงแค่ยอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์อีกด้วย 

5. ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

การทำ CRM ไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เนื่องจากมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ครบถ้วนช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกจาก CRM ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาด ปรับปรุงการให้บริการ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจที่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี จะมีโอกาสเติบโตและแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียวและสามารถสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ได้ในระยะยาว

CRM B2B แตกต่างจาก CRM B2C อย่างไร

CRM ใน B2B และ B2C มีความแตกต่างกันในหลายด้าน เนื่องจากลักษณะของลูกค้าและกระบวนการขายที่แตกต่างกัน สำหรับ B2B (Business-to-Business) CRM จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างและบริหารความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าองค์กร ซึ่งมักมีวงจรการขายที่ยาวนาน การตัดสินใจซับซ้อนและมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การสื่อสารจึงต้องมีความละเอียดและมุ่งเน้นที่คุณค่าทางธุรกิจเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเน้นไปที่การบริหารข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อ พฤติกรรมและความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร 

ในขณะที่ B2C (Business-to-Consumer) CRM มุ่งเน้นไปที่การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ารายบุคคลที่มักตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็วและอิงอารมณ์มากกว่า CRM ใน B2C จึงให้ความสำคัญกับการตลาดเชิงรุก การใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและระบบอัตโนมัติ เช่น การส่งโปรโมชั่นและการวิเคราะห์แนวโน้มการซื้อเพื่อเพิ่มยอดขาย 

อุปสรรคของการใช้ระบบ CRM

อย่างไรก็ตามระบบอัตโนมัติต้องอาศัยคนในการควบคุมครับ ดังนั้นการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ เพราะในส่วนของการทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่ควรปล่อยให้หน้าที่ของระบบเพียงอย่างเดียว เพราะมีความเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กข้อมูลได้ ที่สำคัญองค์กรต้องวางแผนการแก้ไขปัญหาตั้งแต่แรก เพราะหากข้อมูลหรือการทำงานผิดพลาดตั้งแต่แรก การทำงานในขั้นตอนถัด ๆ มาก็อาจเกิดปัญหาได้

ตัวอย่าง ผู้ให้บริการ CRM Software ที่เป็นที่นิยมในตลาด ได้แก่

Zoho, Microsoft Dynamic CRM, Sugar CRM, Signify CRM, Pipedrive, Insightly และ Salesforce ครับ

ขั้นตอนการทำงานของ CRM

        จากภาพจะเห็นได้ชัดเลยนะครับว่ากว่าที่คนทั่วไปจะมาเป็นลูกค้าของเราได้นั้น ต้องผ่านหลายฝ่าย หลายกระบวนการพอสมควร ดังนั้นการขายไม่ได้เกี่ยวข้องแค่เฉพาะ Sale เท่านั้น แต่รวมไปถึงการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ยืนยาวต่อไปนั้น ขึ้นอยู่กับทุกขั้นตอนของการขาย ไม่ว่าจะเป็น

          ก่อนการขาย ผู้ขายต้องมีความอดทนและมีใจรักงานขายเพราะทัศนคติของพนักงานนั้นจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของงานด้วยครับ ผู้ขายที่ดี ต้องเข้าใจปัญหาของลูกค้า รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร หรือมีปัญหาอะไรถึงต้องการสินค้าของเราไปแก้

          ระหว่างการขาย การสื่อสารกับลูกค้าระหว่างการขายนี้จึงต้องคำนึงถึงความพึงพอใจหรือความต้องการซื้อของลูกค้าเป็นหลัก ควรจะเป็นการขายที่เสนอทางเลือกให้กับลูกค้า และให้คำแนะนำแก่ลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ หรือแก้ปัญหาของลูกค้าได้จริง ๆ การสื่อสารอย่างมีมารยาทและถูกต้องครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ

          หลังการขาย สร้างความสัมพันธ์ลูกค้าต่อเนื่อง เสมอต้นเสมอปลาย นอกจากการติดตามผลหลังการขายที่ควรจะมีเพื่อ สอบถามความพึงพอใจ หากมีจุดที่ต้องแก้ไขและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น การใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกค้าได้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญด้วยครับ

สรุปบทความ 

จะเห็นได้ว่า CRM คือระบบที่ช่วยในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อเพิ่มยอดขายและรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรมและทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงขั้นตอนการทำ CRM ที่สำคัญ รวมถึงประโยชน์ที่สามารถช่วยลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
MyCloud Fulfillment ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกท่านนะครับ เพราะเราเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขนาดเล็ก หรือใหญ่ ก็มีความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมองค์กรขนาดใหญ่ได้ เราอยากให้ผู้ขายมีเวลาโฟกัส แต่เรื่องการขายของ การทำแบรนด์ หรือ Marketing งานอื่นๆที่เหลือ เราจะเป็นผู้ช่วยคอยจัดการให้คุณเอง ด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ และมีระบบจัดการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าและนำมาวิเคราะห์ทำ CRM ได้ดีเยี่ยมเลยครับ ส่วนเรื่องงาน เก็บ แพ็ค ส่ง ให้เราเป็นผู้ช่วยคุณดีกว่าครับ

สนใจศึกษาและลงทะเบียนได้ที่ www.mycloudfulfillment.com 

หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร: 092-472-7742, 02-138-9920

อีเมล: [email protected] 

line: @mycloudgroup

MyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อก

บริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจร

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

ธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ ปรับตัวยังไงในยุคดิจิทัล – MyCloudFulfillment

ในยุคดิจิทัลนี้ คนปรับตัวเท่านั้นที่จะอยู่รอด!! หมดยุคธุรกิจค้าปลีกที่ปักหลักช่องทางใดช่องทางหนึ่งแล้วครับ ออฟไลน์อย่างเดียวก็ไม่ดี ออนไลน์อย่างเดียวก็ไม่ได้ ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือการผสานให้เข้ากัน แต่จะทำยังไงให้เส้นแบ่งของสองโลกหายไป? ในท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด และการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุด วันนี้เรามีวิธีดีๆ มาฝากครับ รีบนำไปปรับใช้กันได้เลย 1.ปรับกลยุทธ์เป็น Omni-Channel ทุกวันนี้กลยุทธ์แบบ Omni-Channel เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากแบรนด์ใหญ่ๆ เค้าปรับกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Central หรือที่ชัดๆ เลยคือ Pomelo ที่สั่งผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ แล้วสามารถไปรับหรือคืนสินค้าตามจุดบริการใกล้บ้านที่เป็นพาร์ทเนอร์ได้ ซึ่งข้อมูลของลูกค้าก็จะเชื่อมถึงกันหมด เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และสร้างประสบการณ์การซื้อที่ดีด้วยนะครับ 2.เพิ่มช่องทางการขายให้หลากหลายที่สุด อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าตอนนี้ Marketplace บ้านเรามีเยอะมาก เราจะขายแค่ใน Facebook หรือ Instagram เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วครับ! ลองวางขายกระจายไปทั่วๆ เช่น Lazada, Shopee, Tiktok Shop เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย 3.จัดโปรเด็ดๆ ราคาดึงดูด ขายของยุคนี้จำเป็นต้องทำโปรนะครับ จะโปรเล็ก โปรใหญ่ ก็ต้องทำ และถ้าคุณขายผ่าน Lazada/Shopee ก็ง่ายเลย เพราะเขาจะมีจัดโปรหรือโค้ดส่วนลดให้ลูกค้า […]

ขั้นตอนการหยิบสินค้า (Picking) ในคลังสินค้า ใครว่าไม่สำคัญ?

ขั้นตอนการหยิบสินค้า (Picking) ในคลังสินค้า ใครว่าไม่สำคัญ? … อย่าคิดว่าการหยิบสินค้า (Picking) ในคลังสินค้าไม่สำคัญ! เพราะทุกขั้นตอนตั้งแต่สินค้าเข้าคลัง จนสินค้าออกจากคลังเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการหยิบสินค้าที่ดีต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของสินค้า และช่วยลดเวลาเพื่อให้เราทำงานเร็วขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนวิธีการหยิบ ซึ่งเรามี 4 วิธีที่คนนิยมใช้บ่อยๆ มาแนะนำครับ รับรองว่า มีประสิทธิภาพ ทำงานง่ายขึ้นแน่นอน 1.หยิบตามคำสั่งซื้อ (Discrete Picking) เป็นวิธีที่เบสิคและเข้าใจง่ายที่สุด! วิธีการคือ เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ผู้หยิบจะเดินไปหยิบสินค้าตามรายการ ที่อยู่ในใบสั่งจนครบทุกออเดอร์ ถ้ามีคำสั่งซื้อใหม่ ก็ต้องเดินไปหยิบใหม่ เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาค่อนข้างมาก อาจทำให้ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรครับ 2.หยิบเป็นโซน (Zone Picking) เหมาะสำหรับคลังสินค้าที่มีหลายโซน เช่น โซนห้องเย็น, โซนชั้นวางมาตรฐาน โดยผู้หยิบจะถูกกำหนดให้หยิบเฉพาะโซนนั้นๆ เมื่อคำสั่งสินค้าเข้ามาจะแบ่งออกตามโซน สินค้าจะถูกหยิบพร้อมๆกันในทุุกโซนจนครบ อาจจะอาศัยสายพานในการช่วยลำเลียงสินค้า เพื่อส่งต่อไปยังขั้นตอนต่อไป 3.หยิบแบบคลื่น (Wave Picking) วิธีนี้จะคล้ายๆ กับแบบแรกเลยครับ แต่ต่างกันที่แบบนี้จะกำหนดเวลาชัดเจน การหยิบสินค้าจะมีลักษณะเหมือนคลื่น หมายถึง คำสั่งซื้อจะเข้าตามช่วงเวลา เช่น […]

ค่าธรรมเนียม TikTok Shop มีอะไรบ้าง เรื่องง่าย ๆ ที่คนขายของออนไลน์ต้องรู้ 

TikTok Shop ถือเป็นช่องทางการขายออนไลน์ที่มาแรงที่สุดในปีนี้เลย ด้วยจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและยอดขายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร้านค้าออนไลน์จำนวนมากหันมาให้ความสนใจกับแพลตฟอร์มนี้มากขึ้น แต่สิ่งที่ TikTok Seller จำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนเริ่มขายคือเรื่องค่าธรรมเนียมต่าง ๆ บน TikTok Shop เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณต้นทุนและกำไรของธุรกิจ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียม TikTok Shop กันอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น   ค่าธรรมเนียม TikTok Shop คืออะไร ค่าธรรมเนียม TikTok Shop คือค่าใช้จ่ายที่ผู้ขายต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มเมื่อขายสินค้าได้สำเร็จ โดยระบบจะทำการหักค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จากยอดขายที่ได้รับจากลูกค้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้ถือเป็นต้นทุนสำคัญที่ผู้ขายต้องนำมาคำนวณก่อนตั้งราคาขายสินค้า เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้กำไรตามที่ต้องการ นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมยังมีความแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้าและประเภทของร้านค้า ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการขายบน TikTok Shop  ค่าธรรมเนียม TikTok Shop ต้องเสียค่าอะไรบ้าง ในการขายสินค้าบน TikTok Shop ผู้ขายจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างค่าธรรมเนียมทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ค่าคอมมิชชัน ค่าธรรมเนียมคำสั่งซื้อและค่าจัดส่ง มาดูรายละเอียดแต่ละส่วนกันว่า จะมีอะไรบ้าง  1. […]

ธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ ปรับตัวยังไงในยุคดิจิทัล – MyCloudFulfillment

ในยุคดิจิทัลนี้ คนปรับตัวเท่านั้นที่จะอยู่รอด!! หมดยุคธุรกิจค้าปลีกที่ปักหลักช่องทางใดช่องทางหนึ่งแล้วครับ ออฟไลน์อย่างเดียวก็ไม่ดี ออนไลน์อย่างเดียวก็ไม่ได้ ทางเดียวที่จะอยู่รอดคือการผสานให้เข้ากัน แต่จะทำยังไงให้เส้นแบ่งของสองโลกหายไป? ในท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด และการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุด วันนี้เรามีวิธีดีๆ มาฝากครับ รีบนำไปปรับใช้กันได้เลย 1.ปรับกลยุทธ์เป็น Omni-Channel ทุกวันนี้กลยุทธ์แบบ Omni-Channel เริ่มเป็นรูปเป็นร่างและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากแบรนด์ใหญ่ๆ เค้าปรับกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Central หรือที่ชัดๆ เลยคือ Pomelo ที่สั่งผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ แล้วสามารถไปรับหรือคืนสินค้าตามจุดบริการใกล้บ้านที่เป็นพาร์ทเนอร์ได้ ซึ่งข้อมูลของลูกค้าก็จะเชื่อมถึงกันหมด เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และสร้างประสบการณ์การซื้อที่ดีด้วยนะครับ 2.เพิ่มช่องทางการขายให้หลากหลายที่สุด อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าตอนนี้ Marketplace บ้านเรามีเยอะมาก เราจะขายแค่ใน Facebook หรือ Instagram เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วครับ! ลองวางขายกระจายไปทั่วๆ เช่น Lazada, Shopee, Tiktok Shop เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย 3.จัดโปรเด็ดๆ ราคาดึงดูด ขายของยุคนี้จำเป็นต้องทำโปรนะครับ จะโปรเล็ก โปรใหญ่ ก็ต้องทำ และถ้าคุณขายผ่าน Lazada/Shopee ก็ง่ายเลย เพราะเขาจะมีจัดโปรหรือโค้ดส่วนลดให้ลูกค้า […]

ขั้นตอนการหยิบสินค้า (Picking) ในคลังสินค้า ใครว่าไม่สำคัญ?

ขั้นตอนการหยิบสินค้า (Picking) ในคลังสินค้า ใครว่าไม่สำคัญ? … อย่าคิดว่าการหยิบสินค้า (Picking) ในคลังสินค้าไม่สำคัญ! เพราะทุกขั้นตอนตั้งแต่สินค้าเข้าคลัง จนสินค้าออกจากคลังเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการหยิบสินค้าที่ดีต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของสินค้า และช่วยลดเวลาเพื่อให้เราทำงานเร็วขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนวิธีการหยิบ ซึ่งเรามี 4 วิธีที่คนนิยมใช้บ่อยๆ มาแนะนำครับ รับรองว่า มีประสิทธิภาพ ทำงานง่ายขึ้นแน่นอน 1.หยิบตามคำสั่งซื้อ (Discrete Picking) เป็นวิธีที่เบสิคและเข้าใจง่ายที่สุด! วิธีการคือ เมื่อมีออเดอร์เข้ามา ผู้หยิบจะเดินไปหยิบสินค้าตามรายการ ที่อยู่ในใบสั่งจนครบทุกออเดอร์ ถ้ามีคำสั่งซื้อใหม่ ก็ต้องเดินไปหยิบใหม่ เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาค่อนข้างมาก อาจทำให้ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรครับ 2.หยิบเป็นโซน (Zone Picking) เหมาะสำหรับคลังสินค้าที่มีหลายโซน เช่น โซนห้องเย็น, โซนชั้นวางมาตรฐาน โดยผู้หยิบจะถูกกำหนดให้หยิบเฉพาะโซนนั้นๆ เมื่อคำสั่งสินค้าเข้ามาจะแบ่งออกตามโซน สินค้าจะถูกหยิบพร้อมๆกันในทุุกโซนจนครบ อาจจะอาศัยสายพานในการช่วยลำเลียงสินค้า เพื่อส่งต่อไปยังขั้นตอนต่อไป 3.หยิบแบบคลื่น (Wave Picking) วิธีนี้จะคล้ายๆ กับแบบแรกเลยครับ แต่ต่างกันที่แบบนี้จะกำหนดเวลาชัดเจน การหยิบสินค้าจะมีลักษณะเหมือนคลื่น หมายถึง คำสั่งซื้อจะเข้าตามช่วงเวลา เช่น […]

ค่าธรรมเนียม TikTok Shop มีอะไรบ้าง เรื่องง่าย ๆ ที่คนขายของออนไลน์ต้องรู้ 

TikTok Shop ถือเป็นช่องทางการขายออนไลน์ที่มาแรงที่สุดในปีนี้เลย ด้วยจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและยอดขายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร้านค้าออนไลน์จำนวนมากหันมาให้ความสนใจกับแพลตฟอร์มนี้มากขึ้น แต่สิ่งที่ TikTok Seller จำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนเริ่มขายคือเรื่องค่าธรรมเนียมต่าง ๆ บน TikTok Shop เพราะจะส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณต้นทุนและกำไรของธุรกิจ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียม TikTok Shop กันอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น   ค่าธรรมเนียม TikTok Shop คืออะไร ค่าธรรมเนียม TikTok Shop คือค่าใช้จ่ายที่ผู้ขายต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มเมื่อขายสินค้าได้สำเร็จ โดยระบบจะทำการหักค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จากยอดขายที่ได้รับจากลูกค้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้ถือเป็นต้นทุนสำคัญที่ผู้ขายต้องนำมาคำนวณก่อนตั้งราคาขายสินค้า เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้กำไรตามที่ต้องการ นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมยังมีความแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้าและประเภทของร้านค้า ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการขายบน TikTok Shop  ค่าธรรมเนียม TikTok Shop ต้องเสียค่าอะไรบ้าง ในการขายสินค้าบน TikTok Shop ผู้ขายจำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างค่าธรรมเนียมทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ค่าคอมมิชชัน ค่าธรรมเนียมคำสั่งซื้อและค่าจัดส่ง มาดูรายละเอียดแต่ละส่วนกันว่า จะมีอะไรบ้าง  1. […]