Knowledge Center

ขายของบน Marketplace เสียภาษีอย่างไร? MyCloud รวบรวมไว้ให้หมดแล้ว

ขายของบน Marketplace เสียภาษีอย่างไร? MyCloud รวบรวมไว้ให้หมดแล้ว         

          ขายของออนไลน์ ไม่มีหน้าร้านต้องเสียภาษีหรือไม่ ? ในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนเริ่มเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยช่องทางยอดฮิตก็หนีไม่พ้น Lazada และ Shopee ค่ะ พอเริ่มมีรายได้มากขึ้น สงสัยกันไหมคะว่าขายบน Marketplace แบบนี้ต้องเสียภาษีหรือไม่ เสียอย่างไร ? MyCloud รวบรวมมาให้ไว้หมดแล้ว พร้อมวิธีการยื่นภาษีไปอ่านกันได้เลยค่ะ

          ไม่ว่าขายออนไลน์ช่องทางใดก็แล้วแต่ ต้องเสียภาษีนะคะ ถึงแม้ว่ายอดของคุณจะไม่ถึง 1,800,000 ต่อปี แต่ยื่นไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นอาจโดนสุ่มเรียกย้อนหลังได้ค่ะ แล้วสรรพากรรู้ข้อมูลของเราได้อย่างไร? แน่นอนค่ะว่าผู้ให้บริการทางการเงินของเรา เป็นผู้ส่งให้กับทางสรรพากรโดยจะมีหลักเกณฑ์คือ มีเงินเข้าในบัญชีของเราเกิด 3,000 ครั้งต่อปี/ผู้ให้บริการ โดยผู้ให้บริการทางการเงินไม่ใช่ธนาคารต่าง ๆ แต่นับรวมถึง Lazada Shopee และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ด้วยเช่นกัน หากไม่ถึง 3,000 ครั้งแต่มากกว่า 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินเข้าดังกล่าวรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็โดนส่งข้อมูลให้สรรพากรนะคะ เพราะฉะนั้นยื่นภาษี และเก็บหลักฐานไว้ให้ครบถ้วนสบายใจที่สุดค่ะ

เสียภาษีแบบไหน? ช่วงเวลาใด?

          หากร้านค้าของคุณไม่ได้จดทะเบียนรูปแบบบริษัท ก็จะต้องเสียภาษีรูปแบบเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งการขายบนช่องทาง Marketplace จะอยู่ในมาตรา 40(8) หรือ เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่งเงินได้อื่น ๆ ค่ะ โดยช่วงเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าต้องยื่นภาษีจะมีอยู่ 2 ช่วงดังนี้ค่ะ

1. ยื่นภาษีสิ้นปี ในเดือน ม.ค. – มี.ค. เป็นการสรุปรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา

2. ยืนภาษีกลางปี ในเดือน ก.ค. – ก.ย. เป็นการสรุปรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา 

ขายบน Shopee & Lazada เสียภาษีอย่างไร?

          เริ่มกันที่ผู้ขายสินค้าออนไลน์บน Shopee ที่ถือว่าสะดวกสบายไม่ต้องหาเอกสารคำนวณภาษีเองให้ยุ่งยาก เหมือนกับการขายเองบนช่องทางออนไลน์อื่น ๆ เพราะสามารถขอใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง e-Tax Web Portal ใน Seller Centre หรือจะเข้าไปเช็ครายละเอียดรายรับทั้งหมดเพื่อเอาไปคำนวณภาษี ก็สามารถเข้าไปที่เมนู “การเงิน” กดเลือก “รายรับของฉัน” และขอ My Tax Invoice ที่จะแสดงอยู่ใต้รายการการเงินของคุณผู้ขายที่หน้าหลังบ้านผู้ขาย Shopee ได้เลยค่ะ ซึ่งผู้ขายเองสามารถดาวน์โหลดรายงานการเงินดังกล่าวเป็นไฟล์ PDF เพื่อส่งเป็นเอกสารให้สรรพกรตรวจสอบได้ง่ายอีกด้วย

การขอใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน บน Shopee

           ผู้ขายบน Shopee สามารถขอใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แบบย่อ หรือแบบเต็มรูปผ่านทาง e-Tax Web Portal ที่หน้าหลังบ้าน Seller Centre ได้ตามที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ แต่ทาง Shopee จะสงวนสิทธิ์การออกใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงินให้แค่ภายใน 15 วันนับจากวันที่เกิดรายการการสั่งซื้อชำระเงินขึ้น โดยผู้ที่ขอใบกำกับภาษีต้องทำการลงทะเบียนเพื่อดาวน์โหลดใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองแบบ (เต็มและย่อ) และต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานะการลงทะเบียนขึ้นเป็น “ตรวจสอบแล้ว” ซึ่งส่วนมากจะได้ภายใน 3-7 วันค่ะ โดยในหน้าลงทะเบียน ผู้ขายสามารถเพิ่มที่อยู่สำหรับการออกใบกำกับภาษี และที่อยู่ในการกรอกใบกำกับภาษีได้ที่หน้าดังกล่าวค่ะ

“วันที่มีผลบังคับใช้”

          กรณีที่ร้านค้าไม่ได้จดทะเบียน VAT บุคคลธรรมดาให้ระบุ “วันที่มีผลบังคับใช้” หรือ วันที่เอกสารดังมีผลบังคับใช้ในการนําข้อมูลมาออกใบเสร็จรับเงินและใบกํากับภาษี ให้ระบุเป็นวันที่ออกบัตรประจำตัวประชาชน ส่วนนิติบุคคล ให้ระบุวันที่หนังสือรับรองบริษัท ส่วนร้านค้าที่ทำการจดทะเบียน ยึดตามวันที่ออก ภ.พ. 20 ฉบับล่าสุดแทนค่ะ หลังจากนั้นให้กรอกข้อมูลตามที่ Shopee ระบุและกดยืนยันข้อมูล และรอตรวจสอบผลตามที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ได้เลยค่ะ โดยสถานะจะมีทั้งหมด 3 แบบคือ

1. กําลังตรวจสอบ หมายถึงเอกสารของคุณอยู่ระหวางการตรวจสอบจากทาง Shopee

2. ตรวจสอบแล้ว หากข้อมูลของคุณไม่มีข้อผิดพลาดก็สามารถดาวน์โหลดเอกสารและยื่นภาษีต่อไปได้เลย

3. ไม่ผ่านการตรวจสอบ หากไม่ผ่านสามารถตรวจสอบว่าข้อมูลของคุณผิดพลาดตรงไหน ได้ที่ช่องหมายเหตุ

          สำหรับผู้ขายบน Lazada สามารถยื่นภาษีแบบเดียวกับ Shopee แต่จะมีขั้นตอนการเก็บยอด หรือคำนวณที่ยุ่งยากกว่านิดนึงนะคะ เพราะทาง Lazada จะไม่มีรายงานยอดตามช่วงเวลา ดังนั้นทางที่ง่ายที่สุดคือ การคำนวณจากยอดขายจริง ๆ แบบยังไม่หักอะไร หรือรายได้ตามจริงซึ่งก็คือ ค่าสินค้า+ค่าขนส่ง จะสามารถนำไปคำนวณได้ง่ายกว่า 

ขายหลายช่องทางทำอย่างไร?

          สำหรับผู้ที่ขายหลายช่องทาง เวลาคำนวณภาษีต้องนำยอดขายมารวมกันนะคะ สำหรับการยื่นภาษีจะมี 2 รูปแบบ คือ 1. หักค่าใช้จ่ายตามจริง ซึ่งหากจะเสียตามจริง ผู้ขายก็ต้องเก็บเอกสาร หรือหลักฐานเพื่อแสดงข้อมูลให้ครบ สามารถให้สรรพากรตรวจสอบได้ ซึ่งหากไม่มีก็สามารถยื่นแบบที่ 2 คือ 2. แบบหักแบบเหมาอัตรา ค่าใช้จ่ายสูงสุดได้ที่ 60% แล้วแต่ประเภทเงินได้ ซึ่งจะหัก 60% ต่อยอดการยื่นนั้น ๆ ค่ะ

          โค้ดหรือคูปองส่วนลดต่าง ๆ ที่ใช้งานบน Marketplace ต้องนำยอดดังกล่าวมาเป็นรายได้ (ค่าส่งเสริมการขาย) เพราะจะมีภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย และผู้ขายต้องขอเอกสารการถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่ายจาก Marketplace ต่าง ๆ ดังนี้

“หักภาษี ณ ที่จ่าย”

           ผู้ประกอบการ หรือผู้ขายมีหน้าที่ต้องออกใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีให้ผู้ซื้ออยู่แล้ว แต่เมื่อขายบน Marketplace เรามีค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการอื่น ๆ ที่ต้องจ่าย ซึ่งถือเป็นการจ่ายค่าบริการที่ทาง Lazada Shopee บริการให้เรา ดังนั้นเราต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และกรอก หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่ายบน Marketplace เอาไว้ค่ะ เพื่อที่จะได้นำไปคำนวณเพื่อภาษีรายได้นิติบุคคลต่อไปค่ะ

รับการคืนเงินหักภาษี ณ ที่จ่าย ได้อย่างไร?

          บนช่องทาง Marketplace ผู้ขายจะได้รับเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1. ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของค่าขนส่ง (Shipping fee) และ 2. ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของค่าบริการ (Service fee) โดยร้านค้าบน Shopee จะได้เงินคืนได้ทาง Seller Balance โดยเข้าไปเช็ครายการโอนเงินคืนได้ที่ Seller Centre และสำหรับผู้ขายบน Lazada ผู้ขายต้องคำนวณหัก ณ ที่จ่าย และยื่นสรรพากร จากนั้นส่งใบเสร็จให้ Lazada เพื่อคืนเงินให้ต่อไปค่ะ

          ในปัจจุบันการคำนวณภาษีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถึงแม้จะดูเยอะและวุ่นวาย แต่ก็มีโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ช่วยในการคำนวณภาษีอยู่มากมายค่ะ ทั้งนี้ MyCloud เคยรวบรวมวิธีคำนวณภาษีเอาไว้ให้แล้วใน ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีด้วยหรือ!? แล้วต้องคำนวณอย่างไร? สำหรับผู้ขายออนไลนืโดยเฉพาะเลยค่ะ นอกจากนี้การยื่นภาษีออนไลน์ก็ทำได้ง่ายขึ้นสะดวกสบายขึ้น ผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่พึ่งเริ่มต้นขายใหม่ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีมากนักเพราะทาง Lazada หรือ Shopee มีข้อมูลให้ศึกษาสำหรับผู้ขายอย่างละเอียดเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ขายบน Lazada หรือ Shopee หรือเพื่อน ๆ ผู้ขายในกลุ่มช่วยให้คำตอบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มกันมากมาย การขายออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ E-Commerce เติบโตขึ้นอย่างมากแบบนี้ หากคุณไม่เริ่มตอนนี้ ระวังจะตามไม่ทันรถไฟความเร้วสูงขบวนนี้ไม่ทันนะคะ

สนใจศึกษาและลงทะเบียนได้ที่ www.mycloudfulfillment.com
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร: 092-472-7742, 02-138-9920
อีเมล: [email protected]
line: @mycloudgroup
MyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อก
บริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจร

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

Social Commerce คืออะไร การตลาดที่ร้านค้าออนไลน์กลับมาให้ความสนใจ 

จากการคลิกไลค์สู่การคลิกซื้อ Social Commerce คือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการช้อปปิ้งออนไลน์ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เคยใช้แค่แชร์รูป พูดคุยและติดตามเรื่องราว แต่กลับกลายเป็นตลาดดิจิทัลขนาดใหญ่ที่มียอดขายพุ่งสูงถึงหลักหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ด้วยพลังของ Social Commerce ที่ผสานการสร้างคอมมูนิตี้เข้ากับการขาย ทำให้การช้อปปิ้งสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย วันนี้ MyCloud Fulfillment จะพามาทำความรู้จักว่า Social Commerce กันในบทความนี้  ชวนมาทำความรู้จักกับ Social Commerce คืออะไร  Social Commerce คือรูปแบบการค้าขายสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นโดยตรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งรวมทุกขั้นตอนของการซื้อขายไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การค้นหาสินค้า ดูข้อมูล สอบถามรายละเอียด ไปจนถึงการชำระเงิน โดยผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องออกจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานอยู่ ทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ปัจจุบันแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง TikTok Shop, Facebook หรือ Instagram เป็นต้น โดยแต่ละแพลตฟอร์มต่างก็มีฟีเจอร์ที่รองรับการทำ Social Commerce อย่างครบวงจร  Social Commerce มีกี่ประเภท อะไรบ้าง การทำ Social Commerce นั้นมีหลากหลายรูปแบบที่น่าสนใจ แต่ละประเภทก็มีจุดเด่นและวิธีการเข้าถึงลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้   Peer-to-peer […]

ทำไม Special Set ถึงขายดี? 8 เหตุผลที่คุณต้องรู้!

อยากขายดีแบบม้วนเดียวจบ? ถ้าคุณเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่อยากเพิ่มยอดขายในช่วงเทศกาลพิเศษอย่างช่วงปีใหม่ New Year ต้องไม่พลาดกับกลยุทธ์สุดปังนี้!นั่นก็คือการจัด “Special Set” ไม่ใช่แค่การนำของมารวมกันธรรมดาๆ แต่มันคือ “ศาสตร์และศิลป์” ที่ช่วยทำให้สินค้าในร้านของคุณขายดีจนสต็อกแทบไม่พอ และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้ลูกค้า จนอยากกลับมาซื้อซ้ำ! ไม่เพียงแต่ในช่วงปีใหม่เท่านั้น แต่ยังได้ผลดีในทุกเทศกาลสำคัญตลอดทั้งปี เช่น วันวาเลนไทน์ เทศกาลสงกรานต์ หรือแม้กระทั่งวันแม่ ลองคิดดูสิคะ… ถ้าลูกค้าเลื่อนดูร้านของคุณแล้วเจอสินค้าแบบเซ็ตที่จัดมาให้ครบ ใช้ง่าย คุ้มค่า และเหมาะกับโอกาสพิเศษ จะมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะไม่กด “ซื้อ” ล่ะ? บทความนี้จะพาคุณมาไขความลับกับ 8 เหตุผลว่าทำไมสินค้าแบบเซ็ตถึงสร้างแรงดึงดูดให้ลูกค้า และช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้ในพริบตา! 1. คุ้มค่าคุ้มราคา การขายแบบเซ็ตเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการซื้อในครั้งนี้ เพราะลูกค้าได้สินค้าหลายชิ้นในราคาที่ถูกกว่าซื้อแยกแต่ละชิ้น เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าโดยตรง นอกจากนี้ การขายแบบเซ็ตยังช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ลังเลในการตัดสินใจซื้อ ด้วยความรู้สึกว่า “ได้ของมากกว่าในราคาที่จ่ายน้อยกว่า” การนำเสนอเซ็ตสินค้าแบบนี้ไม่เพียงแค่เพิ่มยอดขายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ดูมีความใส่ใจและเข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้ลูกค้ามองว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจและความคุ้มค่าแก่พวกเขา การขายแบบเซ็ตยังช่วยสร้างความจงรักภักดีในระยะยาว เพราะลูกค้าจะรู้สึกประทับใจกับความคุ้มค่าที่ได้รับ ทำให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำหรือแนะนำแบรนด์ให้กับคนรอบข้าง นอกจากนี้ เซ็ตโปรโมชั่นพิเศษ เช่น “เซ็ตต้อนรับปีใหม่” หรือ “เซ็ตวันแม่” ยังช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกและสร้างโอกาสในการขายในช่วงเวลาสำคัญ ตัวอย่าง : […]

Social Commerce คืออะไร การตลาดที่ร้านค้าออนไลน์กลับมาให้ความสนใจ 

จากการคลิกไลค์สู่การคลิกซื้อ Social Commerce คือปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการช้อปปิ้งออนไลน์ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เคยใช้แค่แชร์รูป พูดคุยและติดตามเรื่องราว แต่กลับกลายเป็นตลาดดิจิทัลขนาดใหญ่ที่มียอดขายพุ่งสูงถึงหลักหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ด้วยพลังของ Social Commerce ที่ผสานการสร้างคอมมูนิตี้เข้ากับการขาย ทำให้การช้อปปิ้งสะดวกและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคย วันนี้ MyCloud Fulfillment จะพามาทำความรู้จักว่า Social Commerce กันในบทความนี้  ชวนมาทำความรู้จักกับ Social Commerce คืออะไร  Social Commerce คือรูปแบบการค้าขายสินค้าและบริการที่เกิดขึ้นโดยตรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งรวมทุกขั้นตอนของการซื้อขายไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การค้นหาสินค้า ดูข้อมูล สอบถามรายละเอียด ไปจนถึงการชำระเงิน โดยผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องออกจากแพลตฟอร์มที่ใช้งานอยู่ ทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ปัจจุบันแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง TikTok Shop, Facebook หรือ Instagram เป็นต้น โดยแต่ละแพลตฟอร์มต่างก็มีฟีเจอร์ที่รองรับการทำ Social Commerce อย่างครบวงจร  Social Commerce มีกี่ประเภท อะไรบ้าง การทำ Social Commerce นั้นมีหลากหลายรูปแบบที่น่าสนใจ แต่ละประเภทก็มีจุดเด่นและวิธีการเข้าถึงลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้   Peer-to-peer […]

ทำไม Special Set ถึงขายดี? 8 เหตุผลที่คุณต้องรู้!

อยากขายดีแบบม้วนเดียวจบ? ถ้าคุณเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่อยากเพิ่มยอดขายในช่วงเทศกาลพิเศษอย่างช่วงปีใหม่ New Year ต้องไม่พลาดกับกลยุทธ์สุดปังนี้!นั่นก็คือการจัด “Special Set” ไม่ใช่แค่การนำของมารวมกันธรรมดาๆ แต่มันคือ “ศาสตร์และศิลป์” ที่ช่วยทำให้สินค้าในร้านของคุณขายดีจนสต็อกแทบไม่พอ และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้ลูกค้า จนอยากกลับมาซื้อซ้ำ! ไม่เพียงแต่ในช่วงปีใหม่เท่านั้น แต่ยังได้ผลดีในทุกเทศกาลสำคัญตลอดทั้งปี เช่น วันวาเลนไทน์ เทศกาลสงกรานต์ หรือแม้กระทั่งวันแม่ ลองคิดดูสิคะ… ถ้าลูกค้าเลื่อนดูร้านของคุณแล้วเจอสินค้าแบบเซ็ตที่จัดมาให้ครบ ใช้ง่าย คุ้มค่า และเหมาะกับโอกาสพิเศษ จะมีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะไม่กด “ซื้อ” ล่ะ? บทความนี้จะพาคุณมาไขความลับกับ 8 เหตุผลว่าทำไมสินค้าแบบเซ็ตถึงสร้างแรงดึงดูดให้ลูกค้า และช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้ในพริบตา! 1. คุ้มค่าคุ้มราคา การขายแบบเซ็ตเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการซื้อในครั้งนี้ เพราะลูกค้าได้สินค้าหลายชิ้นในราคาที่ถูกกว่าซื้อแยกแต่ละชิ้น เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าโดยตรง นอกจากนี้ การขายแบบเซ็ตยังช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ลังเลในการตัดสินใจซื้อ ด้วยความรู้สึกว่า “ได้ของมากกว่าในราคาที่จ่ายน้อยกว่า” การนำเสนอเซ็ตสินค้าแบบนี้ไม่เพียงแค่เพิ่มยอดขายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ดูมีความใส่ใจและเข้าใจความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้ลูกค้ามองว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับการสร้างความพึงพอใจและความคุ้มค่าแก่พวกเขา การขายแบบเซ็ตยังช่วยสร้างความจงรักภักดีในระยะยาว เพราะลูกค้าจะรู้สึกประทับใจกับความคุ้มค่าที่ได้รับ ทำให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำหรือแนะนำแบรนด์ให้กับคนรอบข้าง นอกจากนี้ เซ็ตโปรโมชั่นพิเศษ เช่น “เซ็ตต้อนรับปีใหม่” หรือ “เซ็ตวันแม่” ยังช่วยกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกและสร้างโอกาสในการขายในช่วงเวลาสำคัญ ตัวอย่าง : […]